Coffman ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านกาแฟ Arabic 100% ลงทุนน้อย คืนทุนไว

| 2553-09-27 | 0 ความคิดเห็น |
Coffman Franchise Package คอฟแมน เปิดดำเนินการ ร้านกาแฟภายใต้ระบบเเฟรนไชส์ ภายใต้แนวคิดการเปิดร้านกาแฟที่ว่า “ลงทุนน้อย คืนทุนไว” เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจทำธุรกิจ สามารถเป็นเจ้าของร้านกาแฟด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูง ได้ผลกำไรที่คุ้มค่า

คอฟแมน บริการธุรกิจครบวงจร

1.เฟรนไซส์ร้านกาแฟสดคอฟแมน

2.จำหน่ายสารกาแฟ เมล็ดกาแฟคั่วสด คุณภาพสูงสายพันธุ์อาราบิก้า 100% ผงโกโก้ ผงชาเย็น ผงชาเขียว และกาแฟกระป๋อง

3.นำเข้าและจำหน่ายเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ เครื่องบดกาแฟ เครื่องคั่วกาแฟ

4.คอรส์อบรมการทำธุรกิจกาแฟสด

5.รับคั่วกาแฟสดตามความต้องการ

6.รับปรึกษา และออกแบบร้านกาแฟสดโดยใช้ชื่อร้านของท่านเอง


Coffman เป็นผู้ผลิตแล้วจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์เกี่ยวกับธุรกิจกาแฟสด รวมถึงแฟรนไชส์ร้านกาแฟสด ที่มีมากกว่า 500 สาขา เราจำหน่าย เมล็ดกาแฟสด ทั้ง สารกาแฟ และ เมล็ดกาแฟคั่ว Arabica 100%

ติดต่อ คอฟแมน วิภาวดี (สำนักงานใหญ่)

17/86 หมู่ 2 ซ.วิภาวดี 58 ถนนวิภาวดี-รังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210

Tel : 02-579-8130-1

Fax : 02-579-7790

Website : http://www.coffmancoffee.com , http://shop.coffmancoffee.com

คลับแอสทีเรีย

จินตนาการงานศิลปะสู่เครื่องประดับ

| 2553-09-15 | 0 ความคิดเห็น |
เคยร่วมงานกันมาหลายครั้งจนรู้ฝีมือการทำงานกันและกัน ล่าสุด สุพรทิพย์ ช่วงรังษี เจ้าของและดีไซเนอร์แบรนด์เครื่องประดับ “ทิปปี้ ทิปปี้” (TIPPY TIP-PY) จิวเวลรี่ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ชวนเพื่อนสนิท ม.ล.จิราธร จิรประวัติ ศิลปินชื่อดังในวงการภาพวาดร่วมถ่าย ทอดงานศิลปะลงบนชิ้นงานจิวเวลรี่เป็นครั้งแรก กับคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดภายใต้คอนเซปต์ “เบิร์ด แอนด์บัตเตอร์ฟลาย บาย จิราธร” ซึ่งเปิดตัวให้ชมแบบเบา ๆ ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดย ม.ล.จิราธร เผยว่า คอลเลกชั่นนี้ผสมผสานงานศิลปะเข้ากับโปรดักส์ดีไซน์ให้กลายเป็นเครื่องประดับที่ใช้ได้ทุกวัน ทำให้เห็นว่าศิลปะอยู่ใกล้ตัว เป็นสิ่งรอบตัวที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ชิ้นงานจึงออกโทนเบา ๆ นุ่ม ๆ และอ่อนหวาน และสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ในการแต่งตัวได้ด้วย
คอลเลกชั่นล่าสุดของทิปปี้ ทิปปี้ เน้นลวดลายงานศิลปะที่ใช้ สัญลักษณ์รูปนกและผีเสื้อที่แฝงไปด้วยอารมณ์สนุกสนาน สดใส 8 แบบ คือ ลายนก 4 แบบ และลายผีเสื้อ 4 แบบ แต่ละแบบใช้การลงยาอย่างประณีต มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเบจ สีน้ำตาล สีออฟไวท์ และสีฟ้า สามารถเข้ากันได้ดีกับเนื้องานที่เป็นซิลเวอร์ร้อยละ 92.5 และชุบไวท์โกลด์ และโรสโกลด์ ที่เพิ่มความอ่อนหวานให้กับชิ้นงาน ซึ่งได้รับการรังสรรค์ออกมาเป็นเครื่องประดับครบเซต ได้แก่ กำไลข้อมือแบบแข็ง สร้อยข้อมือ เข็มกลัด ตุ้มหู และแหวน.

ที่มา เดลินิวส์ www.dailynews.co.th

“ตุ๊กตาถุงเ้ท้า” ทำเงิน น่ารักๆ

| 2553-09-12 | 0 ความคิดเห็น |

อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา หรือ น้อง เจ้าของธุรกิจตุ๊กตาถุงเท้า
ลวดลายและสีสันสดใสของถุงเท้าในปัจจุบัน ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เพียงถุงเท้าเพื่อการสวมใส่เท่านั้น แต่ผู้ประกอบการหัวใสนำมาสร้างสรรค์ผลงานเป็น “ตุ๊กตาถุงเท้า” คู่ชาย-หญิง สร้างรายได้หลักหมื่น ทั้งๆ ที่ทำเป็นงานอดิเรก อาศัยเวลาว่างหลังงานประจำจากอาชีพวิศวกรโยธา

อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา หรือ น้อง เจ้าของธุรกิจตุ๊กตาถุงเท้า เล่าว่า ตนเองเป็นผู้ที่ชื่นชอบงานฝีมือเป็นทุนเดิม โดยเริ่มจากการถักตุ๊กตาไหมพรม แต่ด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยาก และการผลิตตุ๊กตาแต่ละตัวต้องใช้เวลานานพอสมควร จึงมองหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทน โดยมองไปที่ถุงเท้าสีสันสดใสที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด โดยครั้งแรกคุณน้องลองเย็บตุ๊กตาถุงเท้าให้กับคนพิเศษ พร้อมกับนำผลงานชิ้นแรกในชีวิตไปโพสต์ไว้ในไฮไฟว์ (Hi 5) ให้เพื่อนๆ ได้ชื่นชมผลงาน แต่เพื่อนไม่เพียงชื่นชมผลงานเท่านั้น กลับสนใจให้คุณน้องทำให้บ้าง จึงก่อเกิดเป็นไอเดียธุรกิจตั้งแต่บัดนั้น

ตุ๊กตาถุงเท้าสีหวาน

“ในช่วงแรกที่เราเริ่มทำตุ๊กตาถุงเท้า ไม่กี่คู่ให้เพื่อน ก็ถ่ายรูปไว้ แล้วใช้วิธีฟอร์เวิร์ดเมล์ (Forward Mail) เพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาเว็บไซต์ควบคู่กันไปด้วย ภายใต้แบรนด์ Sock-Doll Handmade รับผลิตถุงเท้าทั้งปลีกและส่ง ราคาเริ่มต้นที่คู่ละ 150-300 บาท”

ตุ๊กตาถุงเท้า ถือเป็นงานแฮนด์เมดล้วนๆ ที่เมื่อได้ถุงเท้าลวดลานตามที่ต้องการแล้ว ก็นำมาขึ้นแพทเทอร์น ตามรูปแบบทำให้ตุ๊กตามีแขน – ขา พร้อมกับยัดใยสังเคราะห์เป็นตัวตุ๊กตา ส่วนใบหน้าจะใช้ถุงเท้าสีขาวล้วน นำมาปักเป็นลูกตา จมูก และปาก ซึ่งตาก็จะมีหลายรูปแบบ เช่น ตาหวาน ตาหวานเชื่อม และตาปกติ โดยกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 20-30 คู่/วัน ใช้การกระจายงานให้กับคนในครอบครัวช่วยกันทำด้วย ที่จังหวัดชลบุรี โดยให้เย็บเพียงตัวตุ๊กตาให้ ส่วนการปักรูปหน้า หรือการตกแต่งใบหน้าตุ๊กตาคุณน้องจะเป็นผู้นำมาเย็บเอง โดยดูลวดลายของถุงเท้าเป็นหลัก




“การเริ่มต้นทำธุรกิจนี้ถือเป็นงาน อดิเรก อาศัยเวลาว่างหลังเลิกงานจากการเป็นวิศวกรโยธา มาเย็บตุ๊กตาถุงเท้าขายผ่านเว็บไซต์ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง ส่งให้รายได้เฉลี่ยหลักหมื่นบาทต่อเดือน ทั้งๆ ที่ใช้เงินทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 บาท โดยต้นทุนหลักอยู่ที่วัตถุดิบคือถุงเท้าลาย และสีขาว ซึ่งเราจะเลือกตามแหล่งขายถุงเท้าราคาถูก เช่น ย่านสำเพ็ง และโบ๊เบ๊ เป็นต้น”

ขณะนี้ถือว่าตุ๊กตาถุงเท้าของ Sock-Doll Handmade ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน ที่นิยมซื้อไปเพื่อมอบให้คนพิเศษ ซึ่งที่ผ่านลูกค้าบางคนก็ต้องการให้ตกแต่งตัวตุ๊กตาเพิ่ม อย่าง การปักชื่อที่ตุ๊กตา เพิ่มดอกไม้ และติดโบว์ ราคาก็จะบวกเพิ่มอีกนิดหน่อย ส่วนช่วงเทศกาลที่เรียกว่าผลิตไม่ทันขาย คุณน้องบอกว่ามักจะเป็นช่วงเทศกาล แห่งการมอบของขวัญให้กัน เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ และช่วงฤดูหนาว ที่ลูกค้าทางภาคเหนือจะสั่งออเดอร์มากเป็นพิเศษ จากรูปลักษณ์ภายนอกของตุ๊กตาถุงเท้า จะเข้ากับช่วงฤดูหนาว ทั้งการแต่งตัวด้วยการใส่หมวกไหมพรม เครื่องแต่งกายก็เป็นชุดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว

“ตุ๊กตาถุงเท้า ของเรามีให้เลือกหลายแบบ หลายลาย ไม่ค่อยซ้ำกันขึ้นอยู่กับลวดลายของถุงเท้าจากโรงงานผลิตจะออกแบบมา แต่เราจะเน้นคอนเซ็บต์ในการผลิตตุ๊กตาถุงเท้าคือ ต้องเป็นตุ๊กตาคู่ชาย-หญิง เพราะเราคิดว่าถุงเท้าต้องใส่เป็นคู่ ถ้าแยกจากกันเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ดังนั้นเมื่อนำมาเป็นตุ๊กตาถุงเท้า ก็ต้องทำเป็นคู่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เรายังทำตุ๊กตาถุงเท้าขนาดเล็กเป็นพวงกุญแจ และพวงกุญแจตุ๊กตาไหมพรมถัก”

ปัจจุบันตุ๊กตาถุงเท้าของ Sock-Doll Handmade มีตัวแทนจำหน่ายที่รับไปขายต่อทั่วประเทศ และส่งออกไปประเทศนิวซีแลนด์ด้วย โดยคุณน้องส่งเองทางไปรษณีย์ ยอดการสั่งซื้อประมาณหลักร้อยตัวขึ้นไป โดยแผนธุรกิจในอนาคตจะเริ่มออกบูธตามงานแสดงสินค้าให้มากขึ้น จัดตุ๊กตาเป็นชุดกระเช้าของขวัญแบบครอบครัว พร้อมเล็งทำเลเปิดหน้าร้านที่ตลาดนัดสวนจตุจักร รวมถึงเปิดสอนการทำตุ๊กตาถุงเท้าอีกทางหนึ่งด้วย

***สนใจติดต่อ 08-6074-7399, 08-5110-0552 หรือที่ www.weloveshopping.com/shop/sock-doll***

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ มีสาระ : ASTV ผู้จัดการออนไลน์

เป็นสิว บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด

| 2553-09-09 | 0 ความคิดเห็น |
สิวผุดขึ้นมาแต่ละเม็ด แต่ละเม็ด ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อแทบคลั่ง วิ่งหาวิธี delete สิวออกไปจากใบหน้ากันให้วุ่นวาย แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าเป็นสิวไม่ใช่แค่บอกว่าสุขภาพผิวหน้าเราไม่ดี แต่ยังบอกถึงสุขภาพทั่ว ๆ ไปอีกด้วย เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบัน Leonard Drake ได้คิดค้นวิธีการวิเคราะห์ผิวลงไปลึกลงไปอีก ด้วยการผสานความรู้ในการดูแลผิวหน้าแบบตะวันตกเข้ากับศาสตร์การอ่านใบหน้าแบบจีน ซึ่งสามารถบอกได้ว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่าง ๆ ของใบหน้าหรือร่างกาย บอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนในบ้าง ว่าแล้วก็ไปหยิบกระจกมาส่องหน้าดูซิว่า อวัยวะส่วนใดผิดปกติกันบ้าง

โซนที่ 1
ตำแหน่งของสิว :หน้าผากด้านซ้าย
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 2
ตำแหน่งของสิว : หว่างคิ้ว
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้)การรสจัดหรืออาหารกินอาหารดึกเกินไป

โซนที่ 3
ตำแหน่งของสิว : หน้าผากด้านขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

โซนที่ 4,10
ตำแหน่งของสิว : ใบหูทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป

โซนที่ 5,9
ตำแหน่งของสิว: แก้มทั้ง 2 ด้าน
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :
- แก้มส่วนบน ไซนัสและปอด
- แก้มส่วนล่าง เหงือก และฟัน
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

โซนที่ 6, 8
ตำแหน่งของสิว :รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :ไต และปัญหาภูมิแพ้
เสาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ครื่องสำอางทีใช้อาจไม่เหมาะ หรือใส่แว่นาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือผักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

โซนที่ 7
ตำแหน่งของสิว: จมูก และเหนือริมฝีปาก
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :หัวใจ และระบบสืบพันธุ์
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่นกำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

โซนที่ 11,13
ตำแหน่งของสิว :ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :รังไข่
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ: อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปัญหาการอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

โซนที่ 12
ตำแหน่งของสิว :ปลายคาง
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง :กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้มีปัญหาในการดูดซึม

โซนที่ 14
ตำแหน่งของสิว ลำคอ และหน้าอก
สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ :ความเครียด

วันนี้ถ้าส่องกระจกดูสิว ก็อย่าลืมสังเกตสุขภาพร่างกายไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ
ข้อมูลจาก สถาบัน Leonard Drake

นิทาน เรื่องถังน้ำ 2 ใบ

| | 0 ความคิดเห็น |

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน....จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงคร?ึ่งเดียว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาค?ภูมิใจ

ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ...ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

หลังจากเวลา 2 ปี... ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า 'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ

รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน'
คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า... แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่....

ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินก?ลับ...

เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้?ได้'

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง... แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้.... สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น.. และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

ธุรกิจที่พักแรมแบบประหยัด (GUEST HOUSES)

| 2553-09-08 | 0 ความคิดเห็น |
ธุรกิจที่พักแรมแบบประหยัด
(GUEST HOUSES)

นโยบายของรัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมากมาย และส่งผลดีกับธุรกิจอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ธุรกิจทัวร์นำเที่ยว ร้านขายของที่ระลึก โรงแรม และที่พักอาศัยอื่นๆ

ที่พักอาศัยแบบประหยัดหรือเกสต์เฮ้าส์ (Guest Houses) เป็นธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลดีจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว เกสต์เฮ้าส์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเหตุผลทางด้านราคา สภาพแวดล้อม ความสะดวกสบายในการเดินทาง รวมทั้งรูปแบบของเกสต์เฮ้าส์เองก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงให้ดีมากขึ้น เกสต์เฮ้าส์จึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจอีกประเภทหนึ่งสำหรับผู้มีทุนทางด้านที่ดิน ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจดังกล่าวควรศึกษาในรายละเอียดต่างๆ ดังนี้

1. ศักยภาพ/คุณสมบัติของผู้ประกอบการ
ผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจประเภทที่พักแรมแบบประหยัด ควรให้ความสำคัญและเอาใจใส่ต่อคุณสมบัติพื้นฐานต่างๆ ดังนี้

มีใจรักในงานบริการ เพราะการบริการที่อบอุ่นเป็นกันเอง ใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยว จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า และลูกค้าจะกลับมาใช้บริการอีกในครั้งต่อๆ ไป

มีแหล่งเงินทุนสนับสนุน ผู้ประกอบการควรมีความพร้อมทางด้านเงินทุนที่เพียงพอ ทั้งเงินทุนส่วนตัว หรือเงินทุนที่กู้ยืมมาจากสถาบันการเงิน เพราะเกสต์เฮ้าส์เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นในการดำเนินกิจการสูงพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการดัดแปลงอาคารในกรณีที่มีอาคารอยู่แล้ว หรือการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่เป็นตัวอาคารและที่ดิน ในกรณีที่เป็นการเริ่มต้นดำเนินการใหม่

มีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม เช่น สถานที่ตั้งหาง่าย การคมนาคมสะดวก ฯลฯ

สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้พอสมควร เพื่อที่จะเข้าใจถึงความต้องการของนักท่องเที่ยว

มีความอดทนในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยดี

2. การติดต่อกับหน่วยงานราชการ

3. การตลาดธุรกิจที่พักแรมแบบประหยัด
3.1 ภาพรวมการตลาด
3.2 ส่วนแบ่งทางการตลาด
3.3 ธุรกิจหลัก / ธุรกิจเสริม
3.4 ส่วนผสมทางการตลาด

- ผลิตภัณฑ์ / การบริการ

- การกำหนดอัตราค่าห้องพัก

- ทำเลที่ตั้ง

- การประชาสัมพันธ์ / การหาลูกค้า

3.5 สภาพการแข่งขันในตลาด

4. การดำเนินงานธุรกิจที่พักแรมแบบประหยัด
4.1 การรับจองห้องพัก
4.2 การลงทะเบียนเข้าพัก
4.3 การรายงานรายได้ค่าห้องพักประจำวัน
4.4 การบันทึกรายได้ค่าห้องพักในสมุดรายวันและบัญชีแยกประเภท
4.5 การออกจากที่พักของแขกผู้มาพัก
4.6 ข้อห้ามและกฎระเบียบต่าง ๆ ของธุรกิจ

5. การบริหารธุรกิจที่พักแรมแบบประหยัด
5.1 ลักษณะทั่วไปของธุรกิจ
5.2 การจัดการบริหาร

6. การเงินและการลงทุนธุรกิจที่พักแรมแบบประหยัด
6.1 การจัดหาเงินทุน
6.2 เงินลงทุนเริ่มต้น
6.3 เงินทุนหมุนเวียนค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
6.4 ระยะเวลาคืนทุน
6.5 อัตรากำไรต่อยอดขาย
6.6 การควบคุมค่าใช้จ่าย

7. เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ

8. ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

ภาคผนวก

- ตัวอย่างห้องพัก บ้านเช่าอาศัยชั่วคราว

ธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ มาแรง

| | 0 ความคิดเห็น |
ธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในแต่ละปี มีไม่ต่ำกว่า 7 ล้านคน อุตสาหกรรมนี้ทำรายได้ให้กับประเทศถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี ธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศจึงเป็นธุรกิจหนึ่งที่มีการเติบโต และสำหรับผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ ควรศึกษาข้อมูลดังต่อไปนี้ไว้ประกอบการตัดสินใจ

1. ศักยภาพ/คุณสมบัติของผู้ประกอบการ
รักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ผู้ประกอบการควรชอบเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อชมทัศนียภาพตามแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ เช่น ป่าไม้ น้ำตก ทะเล เกาะ เป็นต้น

มีความรู้พื้นฐานในธุรกิจนำเที่ยว และติดตามความเคลื่อนไหวของธุรกิจนี้อยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการต้องมีความรู้ในเรื่องการท่องเที่ยว มีข้อมูลการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม แหล่งซื้อขายของที่ระลึก ฯลฯ รวมทั้งผู้ประกอบการควรจะติดตามข่าวสารข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ทางหน่วยงานรัฐบาล และภาคเอกชนได้จัดทำไว้

มีความรู้ ความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรมและภาษา ผู้ประกอบการต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละท้องถิ่น และผู้ประกอบการควรสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เป็นนักวางแผนที่ดี ผู้ประกอบการจะต้องวางแผนการจัดนำเที่ยว โดยจัดเตรียมศึกษาเส้นทางที่จะไป ที่พัก ร้านอาหารที่จะแวะรับประทาน ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงการจัดเตรียมพนักงานไว้คอยแนะนำและอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว

มีใจรักการให้บริการ เนื่องจากการนำเที่ยวนี้เป็นธุรกิจประเภทบริการ ผู้ประกอบการจึงควรมีใจรักในการให้บริการด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ เป็นกันเอง และสร้างสัมพันธภาพที่ดี เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และแวะเวียนกลับมาใช้บริการอีก

2. การติดต่อกับหน่วยงานราชการ

3. การตลาดธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ
3.1 ภาพรวมตลาด
3.2 กลุ่มลูกค้าเป้าหมายและพฤติกรรมของลูกค้า
3.3 ส่วนแบ่งทางการตลาด
3.4 ธุรกิจหลัก / ธุรกิจเสริม
3.5 ส่วนผสมทางการตลาด
- ผลิตภัณฑ์และการบริการ
- การกำหนดราคา
- ช่องทางการจัดจำหน่าย
- การส่งเสริมการตลาด
3.6 สภาพการแข่งขันในตลาด

4. การดำเนินการธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ
4.1 การวางแผนโปรแกรมท่องเที่ยว
4.2 การติดต่อ / ประสานงานกับสถานที่ต่าง ๆ
4.3 การจำหน่ายแพคเกจทัวร์ / กรุ๊ปทัวร์
4.4 การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง
4.5 การบริการระหว่างการเดินทาง
4.6 การบริการหลังการเดินทาง
4.7 การบริหารค่าใช้จ่าย

5. การบริหารธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ
5.1 รูปแบบการจัดองค์กร
5.2 การบริหารบุคลากร
5.3 การฝึกอบรมพนักงาน


6. การเงินและการลงทุนธุรกิจนำเที่ยวภายในประเทศ
6.1 การลงทุนของธุรกิจ
6.2 ระยะเวลาในการคืนทุน

7. เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ

8. ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

ภาคผนวก
1. ตัวอย่างโปรแกรมการท่องเที่ยว
2. ประเภทของมัคคุเทศก์

ก้าวแรกบนถนนธุรกิจ SMEs

| | 0 ความคิดเห็น |
ธุรกิจ SMEs ดูเหมือนเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เริ่มต้น คนเหล่านี้มักมีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า ควรเริ่มต้นจากจุดไหนก่อน แล้วทำอย่างไรต่อไปจึงจะประสบความสำเร็จ แนวทางการเริ่มต้นธุรกิจ เราควรเริ่มจากการหาข้อมูลใน 3 ด้านใหญ่ๆ คือ กำลังของตนเอง ตลาดลูกค้าและคู่แข่ง จากนั้น จึงไปสู่การจัดตั้งองค์กร ซึ่งในแต่ละด้านมีรายละเอียดปลีกย่อย ดังนี้

วัดกำลังตนเอง
การรู้จักตน โดยประเมินว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะทำธุรกิจนั้น ๆ หรือไม่ เช่น มีความรู้ ความสามารถ มีความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ ยอมรับความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังเช่น กล้านำเงินออมที่เก็บทั้งชีวิตมาลงทุน เป็นต้น และที่สำคัญ คือ ต้องหนักแน่น จริงจัง และกล้าตัดสินใจ

เลือกประเภทธุรกิจที่เหมาะสมกับตนเอง โดยดูจากความชอบ ความถนัด ความสนใจของตนเองเป็นหลัก เพราะงานที่ตนรัก จะทำให้ผู้ประกอบการอยากแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ทางธุรกิจ

สำรวจฐานะทางการเงิน ว่าตนเองมีเพียงพอหรือไม่ การเงินควรจัดแบ่งออกเป็นส่วน ๆ เช่น แบ่งไว้สำหรับใช้จ่ายในครอบครัว แบ่งเป็นเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อใช้ในยามจำเป็น และแบ่งไว้สำหรับการออมเพื่อการลงทุน อาจเป็นการลงทุนระยะสั้น และระยะยาว เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล เมื่อจัดแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ แล้ว เราจะเห็นว่าตนเองมีเงินเพียงพอเพื่อทำธุรกิจหรือไม่ หรือต้องหาจากแหล่งเงินกู้อื่น ๆ

มีทำเลที่ตั้ง ถ้าผู้เริ่มต้นธุรกิจมีสถานที่เป็นของตนเอง และอยู่ในทำเลที่ดีก็ไม่มีปัญหา แต่หากผู้เริ่มต้นยังไม่มี ควรมองหาทำเลที่เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น ย่านศูนย์การค้า ชุมชน อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ เป็นต้น และเรายังต้องคำนึงต่อด้วยว่า ทำเลควรใช้วิธีซื้อ หรือเช่าดี โดยดูที่เงินทุนว่ามีเพียงพอหรือไม่ หากเรามีเงินน้อย ก็ควรใช้วิธีเช่าจะดีกว่า ทั้งนี้ ผู้เริ่มต้นธุรกิจควรดูถึงรายละเอียดของสัญญา ว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ เพียงไร

สอดส่องตลาดลูกค้า-คู่แข่ง
รู้ข้อมูลของลูกค้า ผู้เริ่มต้นธุรกิจควรสำรวจความต้องการสินค้าหรือบริการ ว่ามีมากน้อยเพียงใด เหมาะกับลูกค้ากลุ่มใด วัยใด ชาย หรือหญิง เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการผลิตต่อไป

รู้ข้อมูลของคู่แข่ง ธุรกิจในปัจจุบันมีมากมาย เราจำเป็นต้องทราบว่า คู่แข่งของเราเป็นอย่างไร จุดเด่น จุดด้อยของเขาอยู่ตรงไหน แต่การรู้มูลของคู่แข่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต่างฝ่ายต่างปิดบังข้อมูลเหล่านี้

การจัดตั้งธุรกิจ
เมื่อเราประเมินตนเองและประเมินตลาดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจัดตั้งธุรกิจ วิธีจัดตั้งธุรกิจแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้

การตั้งวัตถุประสงค์และเป้าหมายของธุรกิจ ต้องมีความชัดเจน ว่าธุรกิจทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ผลที่คาดว่าจะได้รับ โดยผู้เริ่มต้นธุรกิจต้องคำนึงว่า เมื่อตั้งขึ้นมาแล้วจะสามารถทำตามได้หรือไม่

รูปแบบขององค์กร รูปแบบขององค์กรมีหลายลักษณะคือ เป็นเจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท ความรับผิดชอบของทั้ง 3 ลักษณะจะต่างกันไป คือ เจ้าของคนเดียว จะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในทุกเรื่อง ห้างหุ้นส่วนคือมีหุ้นส่วนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ความรับผิดชอบของแต่ละคนมากน้อยต่างกันไปตามอัตราส่วนที่ตกลงกันไว้ ส่วนผู้ที่ลงทุนด้วยรูปแบบบริษัท ก็ต้องมีสมาชิกก่อตั้งจำนวน 7 คนขึ้นไป และผลตอบแทนที่ได้จะอยู่ในรูปของเงินปันผล

การหาแหล่งเงินทุน ปกติเงินทุนมาจาก 2 แหล่งใหญ่ๆ คือ เงินทุนที่อยู่ในมือ และเงินทุนที่มาจากการกู้ยืม สำหรับการขอกู้เงิน หากเป็นนักลงทุนรายใหม่อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากไม่ได้รับความเชื่อถือ ดังนั้น การสร้างเครดิตหรือความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ และสิ่งที่ยืนยันความน่าเชื่อถือของเราได้คือ ผลการดำเนินงานของกิจการที่ผ่านมา รวมถึงสถานะทางการเงิน เช่นงบการเงินต่าง ๆ ประมาณการกำไรที่คาดว่าจะได้รับ

สินค้าหรือบริการที่จะผลิต ต้องสอดคล้องกับข้อมูลความต้องการของลูกค้า และที่สำคัญ สินค้าควรมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่เหมือนใคร

การจัดจำหน่ายสินค้า ผู้เริ่มต้นธุรกิจควรดูความเหมาะสมของตลาดว่า จะจัดจำหน่ายในลักษณะใด เช่น ขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ผ่านพ่อค้าคนกลาง มีผู้แทนจำหน่าย หรือหลายวิธีรวมกัน เป็นต้น

การจัดการทางการเงิน คือ การวางแผนการใช้จ่ายเงิน ให้เงินหมุนเวียนไหลคล่องตลอด สิ่งที่ช่วยให้รู้ฐานะการเงินของเรา คือ การทำบัญชี งบการเงิน ไม่ว่าจะเป็น งบดุล งบกำไรขาดทุน ประมาณการรายรับรายจ่าย เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้เริ่มต้นธุรกิจยังต้องแบ่งส่วนเงินทุนหมุนเวียนไว้ เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในกิจการ เช่น เงินเดือนพนักงาน เงินจัดซื้อวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เงินเหล่านี้ต้องควบคุมให้พอใช้ไม่ขาดมือ เพราะถ้าผู้ประกอบการสะดุดกับภาวะการเงิน กิจการอาจหยุดชะงักลงได้

พนักงาน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กิจการประสบความสำเร็จหรือไม่ ถ้านายจ้างสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม พนักงานก็จะมีขวัญ และกำลังใจที่ดีในการทำงาน ผลที่ตามมา กิจการจะเจริญรุดหน้า

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
นันทินาถ อมรประสิทธิ์, “การดำเนินธุรกิจ SMEs,” คู่มือดำเนินธุรกิจ SMEs,

จัดพิมพ์โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กรงเทพฯ : สำนักพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรม, 2543),
หน้า 3-1 - 3-19.

ก้าวแรกบนถนนธุรกิจ เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ โดยใช้เป็นแนวทางวัดและเตรียมความพร้อมของตนเองในด้านต่างๆ ก่อนลงสู่สนามแข่งขันทางการค้า

ธุรกิจซักอบรีด สร้างรายได้

| | 0 ความคิดเห็น |
ธุรกิจซักอบรีด
ชีวิตของคนในปัจจุบันดำเนินไปอย่างเร่งรีบ เพราะส่วนใหญ่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เวลาในแต่ละวันจึงหมดไปกับการทำงาน และในวันหยุดสุดสัปดาห์หลายคนก็ยังมีกิจกรรมนอกบ้านที่ต้องทำอีก เวลาว่างในการทำงานบ้านลดน้อยลง โดยเฉพาะการซักรีดเสื้อผ้า แม้จะมีเครื่องซักผ้าที่มีประสิทธิภาพสูงเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องนี้แล้วก็ตาม แต่การรีดผ้าเพื่อให้เสื้อผ้าดูน่าสวมใส่ก็เป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความพิถีพิถันไม่ใช่น้อย ธุรกิจซักอบรีด จึงเข้ามามีบทบาทในการเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

โครงการผลิตหนังสือองค์ความรู้ SMEs : คัมภีร์ 108 ธุรกิจ โดยสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) จะกล่าวถึงเฉพาะธุรกิจซักอบรีดที่ผู้ประกอบการลงทุนด้วยตนเอง ไม่รวมถึงธุรกิจซักอบรีดแบบแฟรนไชส์ และธุรกิจซักอบรีดแบบหยอดเหรียญ เนื่องจากมีวิธีการดำเนินธุรกิจและขนาดของการลงทุนต่างกัน

อยากทำธุรกิจซักอบรีด… ต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง

1. ศักยภาพ/คุณสมบัติของผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการที่สนใจจะลงทุนทำธุรกิจซักอบรีด ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้

มีทำเลที่ตั้ง ทำเลที่เหมาะสำหรับการเปิดดำเนินธุรกิจซักอบรีด ควรอยู่ในแหล่งชุมชนย่านที่พักอาศัยเพราะจำนวนคนที่พักอาศัยอยู่ในย่านนั้นๆ จะส่งผลถึงจำนวนลูกค้าที่จะมาใช้บริการด้วย หากผู้ประกอบการมีสถานที่เป็นของตนเองอยู่แล้วก็จะช่วยลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง

มีความรู้ในเรื่องเนื้อผ้า ผู้ประกอบการควรมีความรู้ในเรื่องเนื้อผ้าพอสมควร เพราะผ้าแต่ละประเภทมีวิธีและขั้นตอนในการซักรีดต่างกัน

มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ผู้ประกอบการควรเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยดี มีความยิ้มแย้มแจ่มใส และมีความเป็นกันเอง เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับลูกค้าและนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอนาคต

รักงานบริการ ผู้ประกอบการควรเป็นผู้ที่มีใจรักในการทำงานบ้าน มีความประณีตในการซักรีดเสื้อผ้า เพื่อนำเสนอบริการที่ดี มีคุณภาพให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ

2. การติดต่อกับหน่วยงานราชการ

3. การตลาด

3.1 ภาพรวมของตลาดซักอบรีด

3.2 ผู้ใช้บริการร้านซักอบรีด

3.3 ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริม

3.4 ส่วนผสมทางการตลาด


- ผลิตภัณฑ์และบริการ

- ราคา

- ทำเลที่ตั้งและการตกแต่งร้าน

- การส่งเสริมการตลาด

3.5 สภาพการแข่งขัน

4. การดำเนินงาน


4.1 ขั้นตอนการดำเนินงาน

4.2 การเลือกซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการซักอบรีด

4.3 การเลือกซื้อเคมีภัณฑ์

4.4 การบำรุงรักษาอุปกรณ์

4.5 การจ้างพนักงาน

4.6 ความรับผิดชอบต่อลูกค้า

5. การบริหารร้านซักอบรีด

6. การเงิน


6.1 การจัดหาเงินทุน

6.2 โครงสร้างการลงทุน

6.3 อัตราผลตอบแทน

7. เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ

8. ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

หมวกแก๊ปเพนท์ เพิ่มรายได้

| | 0 ความคิดเห็น |
“หมวกแก๊ปเพนท์”
----@@@@----

“ต่อ-เอกราช คุ้มเสนียด” ปัจจุบันสร้างสรรค์ “หมวกแก๊ปเพนท์” จำหน่าย โดยเป็นการสร้างศิลปะลงบนหมวก จนเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ เจ้าของผลงานเล่าว่า เรียนมาด้านศิลปะ จบจากโรงเรียนไทยวิจิตรศิลป์ แล้วก็ไปเรียนเพาะช่างต่อจนจบ ปวส. จากนั้นก็เรียนต่อด้านนิเทศศิลป์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา พอจบก็ทำงานเป็นฝ่ายศิลป์ ทำงานออกแบบอยู่เบื้องหลังการทำหนัง แต่หลังจากที่ทำงานอยู่ตรงนั้นได้สักระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อ จึงเริ่มที่จะมองหาช่องทางอาชีพใหม่ ๆ

“จนมีเพื่อนมาชวนไปขายเสื้อเพนท์ จึงตัดสินใจไปลงทุนขายเสื้อเพนท์กับเพื่อน ขายเสื้ออยู่กับเพื่อนได้ระยะหนึ่งก็เริ่มขยายร้านเปิดเพิ่มอีกหนึ่งร้าน แตกไลน์ขายเสื้อสกรีนลายแนวญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากเปิดร้านใหม่ก็เริ่มมองหาสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาขายเพิ่ม ซึ่งก็มองว่าหมวกแก๊ปที่มีขายอยู่ในท้องตลาดนั้นมีแต่หมวกที่ใช้เย็บปักลาย เป็นส่วนใหญ่ ยังไม่มีใครใช้วิธีการเพนท์เลย จึงได้ความคิดเพนท์ลายลงบนหมวกแก๊ปขายเป็นสินค้าใหม่”

เจ้าของผลงานบอกต่อไปว่า ที่เลือกการเพนท์หมวกแก๊ปขาย ก็เพราะว่ามีความรู้ทางด้านศิลปะอยู่แล้ว และเป็นงานที่ชอบ อีกอย่างหนึ่งงานเพนท์นั้นเป็นงานที่ทำได้อิสระ อยากใส่อะไรลงไปบนงานก็ได้ตามต้องการ และที่เลือกเพนท์หมวกแก๊ปก็เพราะว่าหมวกนั้นไม่ค่อยมีข้อจำกัดในเรื่องของไซซ์ เราเพ้นท์ได้จบในใบเดียวแล้วรอขายลูกค้าได้ทั่วไป ไม่เหมือนรองเท้าที่ต้องมีหลายไซซ์หลาย เบอร์ ซึ่งทำให้ต้องลงทุนสูง

“งานเพนท์หมวกเป็นงานแฮนด์เมด สร้างสรรค์ขึ้นมาทีละใบ ก็ทำให้ลูกค้าที่ซื้อไปมั่นใจได้เลยว่าเป็นหมวกที่มีอยู่แบบเดียวใบเดียวในโลก ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน” นี่ก็เป็นจุดขายสำคัญ

วัสดุอุปกรณ์ในการทำอาชีพนี้ หลัก ๆ ก็มี หมวกแก๊ป, สียาง (เป็นสีที่ใช้ในงานสกรีน), น้ำยาผสมสีสกรีน, หลอดใส่สี, ดินสอเขียนผ้า, ลูกบอลพลาสติกประมาณเบอร์ 4 เป็นต้น

หมวกแก๊ปที่ใช้จะใช้แบบเป็นผ้าทั้งใบหรือแบบด้านหลังเป็นตาข่ายก็ได้ แต่ต้องให้มีพื้นที่ข้างหน้าหมวกไว้สำหรับเพนท์ลวดลาย สีก็ใช้แม่สี คือน้ำเงิน เหลือง แดง และสีขาว สีดำ แต่ถ้าต้องการสีพิเศษก็ซื้อเพิ่ม ส่วนน้ำยาผสมสีสกรีน ถ้าจะไม่ซื้อก็ใช้น้ำแทนก็ได้ อย่างไรก็ตาม หลอดใส่สีควรจะมี เพราะช่วยทำให้งานวาดลวดลายง่าย ได้เส้นที่เนียนกว่าใช้พู่กัน เวลาเก็บก็ไม่ยุ่งยาก แต่ถ้าไม่มีก็ใช้พู่กันวาดก็ได้

“ส่วนการผสมสีนั้นต้องผสมให้พอดี ไม่เหนียวหรือเหลวเกินไป” เอกราชกล่าว

ขั้นตอนการทำ...เลือก ลายที่ต้องการจะวาด จากนั้นก็ออกแบบดีไซน์จัดวางลงบนกระดาษเพื่อเป็นแบบก่อน เมื่อวาดลงบนกระดาษเรียบร้อยแล้ว ก็นำหมวกมาใส่ลงบนลูกบอลพลาสติก เพื่อที่จะลงสีได้ง่ายขึ้น

จากนั้นก็ทำการลงสี โดยใช้หลอดบรรจุสีทำการบรรจุสีที่ผสมไว้แล้ว ทำการวาดโครงเส้นตามรูปแบบที่ออกแบบไว้ ถ้าไม่มีหลอดสีก็ใช้พู่กันแทนได้ ทั้งนี้ สำหรับมือใหม่ก็ควรจะใช้ดินสอเขียนผ้าวาดโครงเส้นไว้ก่อน แล้วจึงใช้สีลงทับ พอลงสีตามโครงเส้นเรียบร้อย ก็ตั้งทิ้งไว้รอให้สีแห้ง

พอสีแห้งแล้วก็ทำการลงสีในรูปตามต้องการ ลงสีในขั้นตอนนี้เรียบร้อยแล้วก็ตั้งรอให้สีแห้งก่อนอีกครั้ง จากนั้นจึงทำการเก็บรายละเอียดบนรูปอีกครั้ง แล้วก็ลงแสงเงาให้ภาพดูมีมิติ ดูสวยงามมากขึ้น

การลงสีแต่ละขั้นตอนต้องรอให้สีที่ลงไปก่อนหน้าแห้งเสียก่อน ถ้าสีไม่แห้งแล้วลงสีทับไป สีจะปนกันจนไม่สวย อีกอย่างเวลาสีแห้งก็จะได้ดูว่าสีที่ลงไว้อ่อนไปเพราะเนื้อผ้าดูดสีหรือไม่ ถ้าอ่อนไปก็ลงเพิ่มให้สีเข้มขึ้น

“หมวกแก๊ปเพนท์” ของร้านนี้ ลวดลายออกเป็นแนวญี่ปุ่น เป็นรูปจำพวก มังกร หงส์ ปลาคาร์ป ดอกซากุระ โดยเน้นออกแบบดีไซน์จัดวางรูปภาพที่มีความหลากหลาย โดยมีราคาขายอยู่ที่ใบละ 380 บาท แต่ถ้าซื้อตั้งแต่ 1 โหลขึ้นไปก็จะได้เป็นราคาส่งที่ถูกลงอีก นอกจากนี้ ยังทำเสื้อสกรีนขายควบคู่ได้อีกด้วย

“งานเพนท์หมวกแก๊ปเป็นงานที่ลงทุนไม่สูง ลงทุนประมาณ ไม่เกิน 3,000 บาท และสามารถฝึกหัดทำได้สำหรับมือใหม่ แต่ก็ต้องพอมีพื้นฐานด้านศิลปะอยู่บ้าง ที่สำคัญสามารถนำไปดัดแปลง ไปเพนท์ลงบนหมวกผ้าทรง อื่น ๆ ได้ด้วย หรือจะเพนท์บนสินค้าต่าง ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้า ก็ได้” เอกราชกล่าว
----@@@@----

ต่อ-เอกราช สร้างสรรค์หมวกแก๊ปเพนท์ลายเท่ ๆ ขายอยู่ที่ร้าน carapace ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการที่ 14 ซอย 6 ห้อง 075 และยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการรับออร์เดอร์สั่งทำ โดยการติดต่อผ่านทางเบอร์โทรศัพท์ 08-7979-1072 รวมถึงมีเว็บไซต์ twohand.ibuy.co.th ให้ดูตัวอย่างผลงาน ทั้งนี้ การเพนท์ลวดลายต่าง ๆ ลงบนวัสดุที่เป็นสินค้าอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา.

ที่มาของบทความ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/

เอ็มมิลค์ นมสดแท้ 100% แฟรนไชส์ อันดับ 1

| 2553-09-04 | 0 ความคิดเห็น |

แฟรนไชส์นมสด ความหลากหลายที่คุ้มค่าลงทุนต่ำเพียง 21,000 เท่านั้น สามารถสร้างรายได้เป็นหมื่น

ลักษณะกิจการ ร้านขายนมสด, ขนมปังสังขยา
ชื่อธุรกิจ (ไทย) เอ็มมิลค์ นมสดแท้ 100%
ชื่อธุรกิจ (อังกฤษ) M MILK DAILY FRESH
ความเป็นมา จุดเริ่มต้นของ M MILK จุดเริ่มต้นธุรกิจ เป็นแนวคิดของพี่ชาย ที่ทำกิจการฟาร์มโคนมสดแท้ๆ 100% เมื่อทำมาระยะหนึ่งเห็นว่าคนไทยยังมีการบริโภคนมกันน้อยมากเมื่อเทียบกับคนในประเทศอื่นๆจึงหันมาพัฒนาธุรกิจเพื่อขยายตลาดนมสด ให้คนไทยตื่นตัวรู้จักคุณค่าของนมสดและบริโภคกันมากขึ้นและคิดว่าธุรกิจประเภทนี้เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก ผลกำไรตอบแทนที่ตามมาสามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ดังนั้นจึงได้ทำ แฟรนไชส์ดังกล่าวขึ้นมา อาชีพเสริม
ลักษณะสินค้า
และบริการ สินค้าหลักๆ ของ M MILK DAILY FRESH นั้น คือ นมสดแท้ 100% และสังขยา ซึ่งทางเรานั้นต้องเก็บข้อมูลและคิดสูตรเฉพาะนี้ขึ้นมา ต้องใช้เวลาหาข้อมูลและลองผิดลองถูกจนได้สูตรที่ลงตัวเฉพาะของ M MILK DAILY FRESH MILK เท่านั้น ซึ่งจะ เน้นการใช้นมสดเป็นหลักและนมสดที่ดีต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน ใช้นมสดจากฟาร์มที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดจากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนมโคมากว่า 40 ปี เราต้องคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

ที่มาของภาพ และ ข้อมุลประกอบ www.thaifranchisecenter.com

ส่วนสังขยานั้น ลักษณะของสังขยาที่ดีจะต้องมีความหอมของมะพร้าวและใบเตย และมีความข้นไม่มากหรือเหลวจนเกินไป วัตถุดิบที่นำมาทำต้องใช้ของที่สดและใหม่อยู่เสมอ เมื่อลูกค้าได้ชิมแล้วติดใจต้องกลับมาซื้ออีก

“เมนูของแฟรนไชส์ เอ็มมิลค์ แม้จะเหมือนกับร้านขายขนมปังสังขยาและนมสดทั่วไป เช่น กาแฟนมสด โกโก้นมสด น้ำแดงนมสด นมสดร้อน-เย็น สังขยาใบเตย แต่เชื่อว่ารสชาติจะเป็นที่ถูกปากของลูกค้า ซึ่งการสร้างจุดเด่นของสินค้าคงเป็นเรื่องของรสชาติที่ต้องใช้วัตถุดิบมีคุณภาพมาผลิตเป็นสินค้า รวมทั้งการบริการแบบเป็นกันเอง เพื่อให้ผู้ซื้อติดใจและมาเป็นลูกค้าประจำ”







ประเทศ Thailand
ค่าแฟรนไชส์ 21,000 บาท
จำนวนสาขา 150 สาขา
รายละเอียดสาขา กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
นโยบาย
การขยายสาขา ขายแฟรนไชส์ ขยายสาขาทั่วประเทศ โดยคำนึงถึงพื้นที่การขายของสาขาต่างๆ
การลงทุน 1.ผู้สนใจลงทุนจัดหาทำเลขาย (แหล่งชุมชน ตลาด เป็นต้น)
2.โทรสอบถามทางแฟรนไชส์เพื่อกำหนดจุดขาย
3.นัดวันทำสัญญาโดยชำระ 50 % และส่วนที่เหลือชำระวันส่งมอบ

ผลตอบแทนหลังจากที่ทำธุรกิจ
หลังจากที่ลงทุนแล้วระยะคืนทุนอยู่ที่ประมาณ 1-2 เดือน ดูได้จากการคำนวณดังต่อไปนี้

•น้ำแก้วราคาขาย 20 บาท ต้นทุน 13 บาท กำไร/แก้ว 7 บาท
•สังขยาขายชุดละ 25 บาท ต้นทุน 15 บาท กำไร/ชุด 10 บาท
•ขนมปังปิ้งขายชุดละ 20 บาท ต้นทุน 12 บาท กำไร/ชุด 8 บาท


\ ถ้าคุณมีลูกค้าอย่างน้อย 30 คน ขึ้นไป คุณจะมีรายได้ต่อเดือน อยู่ที่ประมาณ 9,600บาท

\ ถ้าคุณมีลูกค้าตั้งแต่ 60 คนขึ้นไปคุณจะมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 14,700 บาทขึ้นไป


ธุรกิจนมสดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากขณะนี้ภาครัฐพยายามหันมารณรงค์ให้คนไทยบริโภคนมสดกันมากขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าหากคนไทยใส่ใจในสุขภาพ ธุรกิจของร้านก็จะเติบโตตามไปด้วย อีกทั้งการลงทุนสาขาแฟรนไชส์ของเอ็มมิลค์ ยังใช้เงินลงทุน ไม่มาก เพียงแค่รับสินค้าจากทางสาขาแม่ไปจำหน่าย

บางสาขาสร้างรายได้มากกว่าการทำงานประจำเสียอีก และธุรกิจนี้ทำได้ง่ายไม่ต้องใช้คนมากเพียงแค่คนเดียวก็สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านที่ต้องการรายได้เพิ่มหรือ คนที่มีงานประจำก็สามารถทำได้ไม่ยุ่งยาก ในส่วนของทำเลทางผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้หาทำเลในการทำกิจการเอง

รูปแบบเคาน์เตอร์ไม้ เพิ่ม 4,000 บาท หรือ สามารถสั่งทำแบบพิเศษ ตามความต้องการของลูกค้าได้

ระยะเวลาคืนทุน ระยะคืนทุนอยู่ที่ประมาณ 1-2 เดือน
คุณสมบัติ
ผู้ลงทุน 1.ซื่อสัตย์ อดทน ตั้งใจจริง
2.ยิ้มแย้มแจ่มใส รักการค้าขาย


สิ่งที่แฟรนไชส์ซี่
จะได้รับ รูปแบบการลงทุน 21,000 บาท
(เมนูเครื่องดื่มร้อน- เย็น /ขนมปังปิ้ง) มีอุปกรณ์ ดังนี้
1.เคาน์เตอร์พร้อมป้ายตกแต่งเรียบร้อย
2.อุปกรณ์การชงครบชุด
3.ตู้กระจกสำหรับใส่สินค้าโชว์
4.ขวดโหลใส่วัตถุดิบ และหม้อต้มนมไฟฟ้า และวัตถุดิบอื่นๆ พร้อมขายทันที
รูปแบบการลงทุน 24,000 บาท
(เมนูเครื่องดื่มร้อน- เย็น /ปั่น /ขนมปังปิ้ง / ขนมปัง-สังขยา) มีอุปกรณ์ ดังนี้
1.เพิ่มเครื่องปั่นน้ำ 1 เครื่อง
2.เคาน์เตอร์พร้อมป้ายตกแต่งเรียบร้อย
3.อุปกรณ์การชงครบชุด
4.ตู้กระจกสำหรับใส่สินค้าโชว์
5.ขวดโหลใส่วัตถุดิบ และหม้อต้มนมไฟฟ้า และวัตถุดิบอื่นๆ พร้อมขายทันที


อื่นๆ •ไม่มีค่าแฟรนไชส์รายเดือน รายปี และค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่น ๆ
•มีสูตรชงเครื่องดื่มที่หลากหลาย
•ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้หลายกลุ่ม
•สามารถควบคุมต้นทุนได้และถึงจุดคุ้มทุนเร็ว
•มีเพียงพนักงานขาย 1 คนก็เริ่มธุรกิจได้

ชื่อผู้ติดต่อ คุณจอย คุณแมว และคุณชนะ
ที่อยู่ 78/409 ซ.เพชรเกษม 106 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กทม. 10160
โทร. 081-9377633, 085-1911170, 081-3403665
โทรสาร 02-8082983
อีเมล์ mail.m.milk@gmail.com
เว็บไซต์ www.m-milk.net

ไขเคล็ดลับ วิธีการคิด และ แนวทางการมองโลกของ อภิมหาเศรษฐี

| 2553-09-02 | 0 ความคิดเห็น |
บทความที่นำเสนอสรุปจากหนังสือเรื่อง The Millionaire Mind แต่งโดย Thomas Stanley ผู้แต่งรวบรวมข้อมูลในทุกแง่ทุกมุม ทั้งจากการการสัมภาษณ์และจากการศึกษาแนวทางในการดำเนินชีวิตของเหล่าบรรดา เศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย เพื่อค้นหาลักษณะนิสัยร่วมกันและปัจจัยแห่งความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้

มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้

ลักษณะนิสัยที่เหมือนกันของเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย ได้แก่

1. มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง
พวกเขามักใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่หรูหราฟู่ฟ่าจนเกินความจำเป็น
กินอยู่และแต่งกายอย่างประหยัดและเหมาะสมตามกาละเทศะ
เมื่อมีสิ่งของหรือเครื่องใช้เกิดการชำรุด
เหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายมักเลือกที่จะลองซ่อมแซมดูก่อน
มากกว่าเลือกที่จะซื้อใหม่เพราะพวกเขารู้ถึงคุณค่าของเงิน
จึงไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย นอกจากนั้น คำว่า "ร่ำรวย"
ในสายตาของบุคคลเหล่านี้หมายถึง การมีรายรับสูงและมีรายจ่ายต่ำ
ในทางกลับกัน การมีรายได้สูงแต่มีการใช้จ่ายอย่างไม่จำกัด ประเภทหลังนี้
พวกเขาเรียกว่า การมีความเป็นอยู่แบบ "ยากจน"

2. ไม่เป็นพวกที่บ้างาน
พวกเขาให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือญาติมิตรมาเป็นอันดับหนึ่ง
เพราะพวกเขาเชื่อว่า ความสบายใจ ความอบอุ่นภายในครอบครัว
การมีสุขภาพที่ดี
และการมีชีวิตส่วนตัวที่สมดุลย์กับชีวิตการทำงานจะเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในอนาคต
ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่ทำงานจนเกินตัว
และเลือกทำเฉพาะชิ้นงานที่สำคัญและเกิดผลประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า
พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นคนที่ชอบเกี่ยงงานหรือเป็นคนที่เกียจคร้านแต่อย่างใด
แต่มันหมายถึงการทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ๆ ไป
และในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเหล่านี้เป็นบุคคลที่ตั้งใจทำงานทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่
เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปตามแผนการที่วางไว้ นอกจากนั้น
การที่พวกเขาพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเพราะพวกเขาเชื่อว่า
คนเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องช่วยเหลือเกื้อผมลกันในภายภาคหน้าก็เป็นได้

3. ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีเงินทองหรือมรดกมากมายจากพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด
แต่พวกเขาก็พยายามต่อสู้ สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
และก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย เพราะผู้แต่งกล่าวว่า
พวกเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่มักจะร่ำรวยตั้งแต่ก่อนอายุ 45 ปีเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี การที่พวกเขาต้องลำบากลำบนมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้หมายความว่า
พวกเขาจะตามใจลูก ๆ
ของตนเองทุกอย่างเพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหายไปในวัยเด็ก
แต่พวกเขากลับมีวิธีการสอนให้ลูกรู้จักอดทน รู้จักคุณค่าของเงิน
มีความเป็นผู้ใหญ่ และกล้าที่จะเสี่ยง
โดยเหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลาย มักจะสอนให้ลูก ๆ
รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในช่วงปิดเทอม
โดยการทำงานพิเศษเพื่อหาเงินด้วยตนเอง ฝึกความมีระเบียบวินัย
และฝึกฝนทักษะในการพึ่งพาตนเอง

4. ไม่ได้มีสติปัญญามากนัก
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาตั้งแต่เกิดจึงจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วย
ทำให้ผลการเรียนที่ออกมาไม่ค่อยสูงมากนัก ส่วนใหญ่แล้ว GPA
ในระดับปริญญาตรีจะอยู่ประมาณ 2.9 เท่านั้น
และด้วยความลำบากตรากตรำในการเรียน
สิ่งนี้ทำให้เขารู้จักความอดทนและไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
แม้เมื่อเจออุปสรรคในการทำธุรกิจ เขาก็จะไม่ตื่นเต้นอะไรมากนัก
เพราะพวกเขารู้ดีว่า อุปสรรคกับความสำเร็จเป็นของคู่กัน
หากไม่มีอุปสรรคให้ข้ามผ่าน ชัยชนะที่ได้มาย่อมไม่อาจเรียกได้ว่า
ความสำเร็จ นอกจากนั้น ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย
บรรดาเศรษฐีเหล่านี้ยังชอบที่จะผูกสัมพันธ์กับคนหลาย ๆ ประเภท
เพื่อศึกษาพฤติกรรมและแนวความคิดของบุคคลเหล่านั้น
และเพราะการได้พบปะเจอะเจอคนมากมาย ทำให้พวกเขามีทักษะในการเลือกคบคน
ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาร ่วมงานในองค์กรได้เป็นอย่างดี
และสุดท้าย จากมุมมองของเหล่าเศรษฐีทั้งหลาย พวกเขาเชื่อว่า
ชีวิตสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาแห่งการแสวงหาตนเอง
เพื่อให้รู้ว่า ตนเองชอบหรือมีความถนัดในสิ่งใด
และทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่เขารู้จักตนเองดีพอ
ทำให้เขาสามารถเลือกทำงานที่ชอบและมีความถนัดได้ ซึ่งสองสิ่งนี้เองก็คือ
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดนั่นเอง

5. กล้าที่จะเสี่ยงและมีใจรักในงานที่ทำ
ด้วยใจรักในงานที่ทำ
ทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะขวนขวายหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
จึงทำให้งานที่ออกมานั้น แทบจะไม่มีชิ้นใดเลยที่ไม่ประสบความสำเร็จ
และด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและทันสมัยดังกล่าว
รวมกับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
ทำให้พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
ให้กับสินค้าของตนเอง ส่งผลให้พวกเขาสามารถครองตลาดสินค้าชนิดใหม่ ๆ
ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เมื่อนั้นทั้งความสำเร็จและความมั่งคั่งร่ำรวยย่อมไหลมาเทมาอย่างไม่ต้องสงสัย

6. มีคุณธรรมในจิตใจ
เขาเชื่อว่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เงินตรา
แต่อยู่ที่คุณธรรมความจริงใจที่มีให้แก่กัน ฉะนั้น
พวกเขาจึงทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา
ไม่มีการหลอกลวง ทำให้ธุรกิจของพวกเขาเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
นอกจากนั้น เขายังตระหนักดีว่า การหลอกลวงลูกค้าด้วยวิธีใดก็ตาม
แม้ว่าจะได้ผลกำไรที่งอกเงย แต่มันจะเป็นเพียงในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
เพราะเมื่อลูกค้าจับได้
เขาย่อมไม่กลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเราอีกอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน การค้าขายอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าจะได้ผลกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่วิธีนี้สามารถซื้อใจลูกค้าได้
จึงทำให้บริษัทมีผลกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของเศรษฐีอเมริกัน

1. มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
การจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นจะต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป ็นทีม
และด้วยประสบการณ์ในการพบปะผู้คนมากมาย
ทำให้เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายเป็นคนช่างสังเกต เป็นผู้ฟังที่ดี
และมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (EQ) ซึ่งทักษะประการหลังนี้
พวกเขารู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ยาก
เพราะการที่คนเราจะมีความเกรงอกเกรงใจ
มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างเต็มที่
และมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมนั้น ไม่ได้ฝึกกันได้แค่เพียงข้ามคืน
แต่เป็นทักษะเฉพาะตัวและจะต้องใช้เวลาในการเพาะบ่มนิสัยเหล่านี้ ฉะนั้น
ในการคัดเลือกบุคลากร
เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายจะคัดเลือกเฉพาะคนที่เป็นคนดี
มีความสามารถ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
เพราะคนที่เก่งอย่างเดียวแต่ไม่มีคุณธรรม สามารถทำให้องค์กรล่มจมได้
ในขณะเดียวกัน คนดีอย่างเดียวแต่ไม่มีความสามารถ
ก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้น เขาจึงเลือกคนดี
ที่มีความสามารถในระดับหนึ่งและพร้อมที่จะปรับปรุงพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
และที่สำคัญที่สุดคือสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เท่านั้นยังไม่พอ
เมื่อพวกเขาได้บุคลากรตามคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว
พวกเขาจึงใช้ทักษะในความเป็นผู้นำเพื่อบริหารองค์กร ได้แก่
การมีความสามารถในการโน้มน้าวจิตของลูกน้องให้ตระหนักถึงความสำคัญของงานที่ตนเองกำลังกระทำ
และเห็นความสำคัญในการทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อความสำเร็จขององค์กร

2. รับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกรูปแบบ
เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายต่างเข้าใจถึงสัจธรรมประการหนึ่งว่า
ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและการกระทำของเรา
ฉะนั้น เมื่อใดที่พวกเขาโดนวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ
แต่จะเลือกฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่มีความรู้จริง ๆ ในสิ่งที่เขาพูด
มิใช่เป็นการปรักปรำ หรือวิพากษ์วิจารณ์เพื่อความสะใจ
หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เขาเหล่านั้นคิดขึ้นมาเอง นอกจากนั้น
ในบรรดาผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลาย
บรรดาเศรษฐีอเมริกันจะเลือกที ่จะใส่ใจคำพูดของคนที่เสนอหนทางแก้ไขให้ด้วย
เพราะแม้ว่าเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์จะเป็นความจริงก็ตาม
แต่หากไม่มีหนทางแก้ไขแล้วล่ะก็
พวกเขาก็ไม่นำเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจเลยเพราะถือว่า เป็นเรื่องรกสมอง

3. มีความซื่อสัตย์ปากกับใจตรงกัน
การมีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น
ด้วยคุณสมบัติข้อนี้เองจึงทำให้เขาสามารถเลือกคู่ครองที่เหมาะสม
ที่มีคุณธรรมเช่นเดียวกันนี้ได้ คู่ครองเหล่านี้คือ
คนที่จะช่วยประคับประคองซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรค
และช่วยสนับสนุนเกื้อผมลซึ่งกันและกันเมื่อชีวิตประสบความสำเร็จ

4. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
เหล่าบรรดาเศรษฐีอเมริกันทั้งหลายสามารถมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจได้อย่างเหนือชั้น
อย่างที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง เพราะพวกเขาเหล่านั้นรู้จักใช้สัญชาตญาณ
พวกเขาเชื่อว่า ความสามารถพิเศษนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจมีความสงบ
ผ่องใส และจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง
และเมื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดในทุกแง่ทุกมุมจนความคิดตกตะกอน
จึงเกิดเป็นความคิดริเรื่มสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

5. มีระเบียบวินัยและมีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน
พวกเขาจะใช้พลังงานทั้งหมดด้วยความขยันและอดทน
และจะทำงานทีละอย่างอย่างมีระเบียบวินัย นอกจากนั้น พวกเขายังรู้อีกว่า
ช่วงเวลาไหน ควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร
เพราะพวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน
จึงรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ตรงจุดไหนบนเส้นทางของชีวิต
จึงไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปกับเรื่องที่ไร้สาระ

อาชีพเสริม ทางเลือก ทางรอด ของมนุษย์เงินเดือน

| | 1 ความคิดเห็น |
จอย (นามสมมติ) มนุษย์เงินเดือนของบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่ง มีรายได้ต่อเดือนจากวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง 5,000 บาท ระหว่างทำงานจอยจึงเรียนต่อระดับปริญญาตรีไปด้วย เพื่อหวังจะได้ปรับเงินเดือนให้อยู่ในระดับสูงขึ้น และดำเนินชีวิตให้รอดได้อย่างสบายขึ้นในยุคเศรษฐกิจถดถอย ...

ระหว่าง ยังไม่จบปริญญาตรี จอยไม่เคยได้รับการปรับเงินเดือนหรือโบนัส เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในที่ทำงานเดียวกัน เพราะบริษัทอ้างว่ากำไรน้อยให้ช่วยๆ กัน ครั้นพอจบปริญญาตรี จอยหวังจะได้รับการปรับเงินเดือนเทียบเท่าพนักงานระดับปริญญาตรีคนอื่นๆ อย่างน้อยก็น่าจะได้ขึ้นเงินเดือนระหว่าง 1,000-2,000 บาท แต่ปรากฏว่า บริษัทปรับเงินเดือนให้จอยเพียง 500 บาท

จอยรู้สึกผิดหวัง เสียใจ ที่สำคัญคือ ทั้งครอบครัวก็คงต้องกระเบียดกระเสียรกันต่อไป เงินเดือนขึ้น 500 บาท แทบจะสลายไปกับสายลม ไหนจะค่ามอเตอร์ไซค์ออกจากซอยบ้าน ค่ารถประจำทาง 2 ต่อ (แม้จะเป็นเส้นทางสั้นๆ แต่ไม่มีสายตรง) ไหนจะต้องนั่งรถเข้าไปในซอยที่ทำงานอีกล่ะ นี่ยังไม่รวมค่าเช่าบ้าน ค่าข้าวปลาอาหารการกินที่แพงขึ้นทุกวัน และค่าอื่นๆ อีกมากมาย

ทางเลือก-ทางรอดของจอย (และคนแบบจอย) มีอะไรบ้าง?

หารายได้เสริม

แทน ที่จะตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์ อย่างการ “ลาออก” หรือ “อู้งาน” เพื่อแสดงการต่อต้านบริษัทที่ไม่ยอมขึ้นเงินเดือนและค่าครองชีพให้อย่าง เหมาะสม จอยอาจจะเลือก “รักษา” สภาพการเป็นลูกจ้างในบริษัทเดิมเอาไว้ อย่างน้อยก็ยังได้เงินเดือนทุกเดือน และมีสวัสดิการสังคม แต่อาจจะลองมองหาอาชีพที่ 2 (หรือ 3 ถ้าทำได้) เพื่อที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับค่าใช้จ่ายที่ทวีตัวในครัวเรือน

อาชีพเสริมอย่าให้เป็นแค่ความคิด เพราะจะเป็น “ตัวช่วย” ที่เห็นผลจริงสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย และต้องการจะอยู่รอดให้ได้ในยุคที่สินค้าราคาแพง ค่าครองชีพถีบตัวสูงลิ่วๆ

คนอเมริกันกว่า 7 ล้านคน ล้วนมีอาชีพที่ 2 เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นสิ่งที่ทำได้จริง ลองดูว่าคุณมีศักยภาพจะทำอาชีพเสริมที่น่าสนใจเหล่านี้หรือไม่?

ติวเตอร์/สอนหนังสือ
รับเลี้ยงเด็ก
ออกแบบจัดสวน และอื่นๆ
ขายเสื้อผ้า
ช่าง
นักร้อง/นักดนตรี
พนักงานเสิร์ฟ
ส่งพิซซา
รับเลี้ยงสัตว์
รับภาระจดเก็บ/ชำระค่าสาธารณูปโภค
พนักงานอัพเดตเว็บ
ขายของในอีเบย์

Tips

- ก่อนอื่นต้องรู้กฎระเบียบของบริษัทตัวเองว่า มีนโยบายเกี่ยวกับการให้ทำอาชีพเสริมอย่างไรบ้าง บางบริษัทอาจเปิดเสรี แต่ก็มีหลายแห่งที่ห้ามทำอย่างเด็ดขาด หรือห้ามไปรับจ๊อบในธุรกิจเดียวกัน ถามแผนกเอชอาร์ให้แน่ใจ

- ที่สำคัญมากๆ คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า เวลาในการทำงานหลักควรอยู่ตรงไหน ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง (แน่ล่ะ ไม่ควรนำงานจ๊อบมาทำในเวลางานหลัก หรือมาสายเพราะมัวแต่ทำจ๊อบ) และคุณต้องมีความรับผิดชอบอะไรบ้าง

- อย่าให้ “งาน” และ “เงิน” เป็นเจ้าชีวิตคุณ การยึดอาชีพเสริมด้วยการทำงานล่วงเวลาเป็นครั้งเป็นคราว เช่น 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อาจจะโอเค แต่ไม่ใช่ว่าทำงานเสริมเกินเวลาทุกวันโดยไม่มีเวลาพัก ไม่หลับไม่นอนให้เพียงพอ คราวนี้ละก็...ทั้งงานหลัก ทั้งงานเสริม คงต้องบอกศาลากับคุณแน่

ทำงานที่บ้าน

จอยอาจจะเหมือนกับ อีกหลายรายที่หุนหันพลันแล่น เลือกที่จะเดินหันหลังให้งานที่ทำอยู่ เมื่อรู้สึกว่าหักลบกลบหนี้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางออกจากบ้านแต่ละวันแล้ว ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

การทำงานอยู่กับบ้านก็มีข้อดีที่จะ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าอาหารที่ต้องซื้อนอกบ้าน ซึ่งอาจจะราคาสูงกว่าซื้อหามาทำกินเอง ที่สำคัญคือ การได้เป็นนายของตัวเอง สามารถจะเลือกได้ว่าจะเริ่มทำงานตอนไหน ทำอะไรก่อนหลัง แต่อีกด้านหนึ่ง การเป็นนายตัวกลับไปทำงานที่บ้านก็ต้องมีระเบียบวินัยในตัวเองเป็นอย่างสูง เช่นเดียวกัน ซึ่งประการหลังนี้มีหลายคนหวาดๆ เสียวๆ และทำให้ไม่กล้าที่จะเดินออกไปจากชีวิต “งานประจำ” ที่แม้จะรู้สึกว่าขมขื่นอยู่

อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าทุกคนจะสามารถออกจากงานมาเป็นนายตัวเองที่บ้านได้ นอกจากระเบียบวินัยและหัวใจที่แข็งแกร่งแล้ว ความสามารถพิเศษส่วนตัว รวมทั้งเครือข่ายสังคมที่คุณรู้จักก็เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานอยู่กับบ้าน “ให้รอด”

เพราะฉะนั้นเบื้องแรกต้องตัดสินใจให้ดีด้วยการสำรวจความ สามารถตัว เอง ดูว่ามีลู่ทางนำไปทำมาหากินได้หรือไม่ คุณพร้อมหรือยังที่จะทำกิจการเล็กๆ ของตัวเอง หรือไม่งานที่คุณจะไปรับจ้างทำอยู่กับบ้านนั้นจะสามารถเลี้ยงตัวเองได้จริง หรือไม่ คุณจำเป็นจะต้องเรียนรู้ ฝึกฝนอาชีพอะไรเพิ่มเติมก่อนที่จะกลับไปจริงจังกับอาชีพนั้นที่บ้านหรือ เปล่า เช่น อาจไปเรียนทำผม นวดเท้า นวดไทย

ถ้ายังตอบคำถามเรื่อง ทุนรอน ทั้งทุนด้านเงินทอง ทุนด้านความสามารถ และคิดคำนวณไปมาแล้วยังปลงไม่ตกว่าจะไปได้รอด ก็ควรเลือกทำอาชีพเสริมดีกว่าที่จะออกไปอยู่บ้านแล้วล้อเล่นกับชะตาชีวิต “รอด-ไม่รอด”

แต่หากคุณมีทุนรอนพอเพียงและมั่นใจว่าจะรอด ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องเริ่มจากการวางแผน ทำเหมือนว่าคุณจะทำธุรกิจจริงๆ แม้ว่าพนักงานบริษัทจะมีคุณเพียงคนเดียวก็ตาม การวางแผนที่ว่าต้องทำอย่างเป็นระบบระเบียบเหมือนทำบริษัทจริงๆ ตั้งแต่การวิจัยตลาด รู้กลุ่มลูกค้าของคุณ (ว่าเป็นใครและใครคนนั้นเป็นอย่างไร) เก็บหลักฐานทุกอย่างไว้ให้เป็นระบบระเบียบจนกว่าจะเห็นเงินจริงๆ เข้ากระเป๋า ตรวจสอบเงินอนาคตทุกชนิด ศึกษาเรื่องกฎหมายให้แม่น และอย่าลืมสอดส่องหาโอกาสใหม่ๆ

กระนั้นก็อย่ากระโจนเข้าใส่ ทุกอย่างโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ โดยเฉพาะในเศรษฐกิจเช่นนี้ เล่ห์เหลี่ยมกลโกงของมิจฉาชีพที่จ้องจะฉกเงินจากบัญชีคุณมีมากกว่าคนต้องการ ทำธุรกิจใสสะอาดเยอะ การเตรียมพร้อมตั้งรับและศึกษาคู่ค้าอย่างรู้เขารู้เราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

Tips

- อย่าลืมโพนทะนาให้เพื่อนๆ ทุกคนรู้ว่า ตอนนี้คุณกำลังกลับมาทำงานที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กๆ หรือทำอะไรก็ตาม ไม่แน่ว่าการบอกต่อไปเรื่อยๆ จะช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นของคุณเฟื่องฟู หรืออย่างน้อยก็ดีกว่าก้มหน้าก้มตาทำอยู่คนเดียวเงียบๆ แน่

- สวมวิญญาณนักขาย ไม่ว่าจะไปทำงานอะไรที่บ้าน แม้ไม่ใช่งานขายของหรือขายตรง แต่ถึงอย่างไร การมีวิญญาณนักขายจะช่วยธุรกิจ “ที่บ้าน” ได้รับการโปรโมตและมีที่ทางในธุรกิจนั้นๆ มากขึ้น

- เครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย ไว้ใจได้ ไร้ปัญหา นอกจากจะช่วยสร้างเครดิตให้ธุรกิจเล็กๆ ของคุณแล้ว ยังช่วยให้ผลิตงานได้มากขึ้น และราบรื่นกว่า จริงมั้ย? ส่วนเว็บไซต์และนามบัตรที่ดูเป็นมืออาชีพก็อาจจะสำคัญไม่แพ้กัน

- วางแผนโฟลว์งานในแต่ละวันให้ดี เรียงลำดับความสำคัญของแต่ละเรื่อง ซึ่งจะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็อย่าลืมข้อได้เปรียบของการทำงานที่บ้านไปล่ะ เช่นว่า คุณไม่เห็นต้องทำงานหน้าดำคร่ำเครียดตลอดเวลา จะพักดื่มชา กาแฟแบบโอ้เอ้บ้างก็ได้ ถ้าวางแผนไว้แล้วว่าไม่เสียงาน

ทั้งหมดนี้ คือทางเลือก-ทางรอดคร่าวๆ ซึ่งอาจพอเป็นไอเดียให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเราท่าน เห็นช่องทางในการเพิ่มรายได้กันเล็กๆ น้อยๆ และอย่าลืมขยัน (ทำอาชีพเสริม) แล้วก็ต้องประหยัดอดออมกันไว้เผื่ออนาคตที่ไม่แน่ไม่นอนด้วยล่ะ

ที่มา Post Today

ปั้นดินให้มีชีวิต สร้างธุรกิจจากศิลปะ

| | 0 ความคิดเห็น |
เมื่อเอ่ยคำว่า ""งานศิลปะ" เชื่อว่าหลายคนคงนึงถึงภาพวาดต่างๆ บ้าง และภาพถ่ายบ้าง ตลอดจนงานศิลปะที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาเป็นประติมากรรมในรูปแบบต่างๆ ตามจินตนาการที่มีมากหรือน้อย ลึกซึ้ง และให้ความรู้สึกตรงความต้องการแค่ไหน ย่อมส่งผลต่อคุณค่าของชิ้นงานนั้น "มีราคาหรือไม่" คุณค่าตามความชอบของงานศิลป์นี้ทำให้กลุ่มศิลปินสมัยใหม่ไม่น้อย พยายามประยุกต์และพัฒนาสู่ "ธุรกิจศิลปะ" เพื่อสร้างรายได้และผลกำไรจากจินตนาการที่ถ่ายทอดออกมาตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ

"ธนสิทธิ์ พรทิพย์พิทักษ์" ช่างปั้นดินเผาหลานย่าโม ที่เติบโตจากกองดินเหนียว เมืองโคราช การเรียนรู้งานศิลปะการปั้นจึงไม่ต้องพร่ำสอนมากนัก แต่เชาวน์และความรักทำให้เขาลักจำ จากการเป็นลูกมือช่างปั้นท้องถิ่น จนมีความชำนาญแตกฉานและซึมลึกรักในศิลปะงานปั้น กอปรกับการใฝ่เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกจากฝีมือที่ฝึกปรือจนชำนาญจากช่างปั้นท้องถิ่นแล้ว เขายังมุเรียนรู้หลักทฤษฎีสมัยใหม่ในห้องเรียนในระดับ "วิทยาลัยเพาะช่าง" แต่ชีวิตพลิกผันทำให้เรียนได้แค่ 6 เดือน ต้องระหกระเหินไปค้าแรงงานต่างแดน แต่โชคดีที่เขาได้ทำงานที่เขาถนัดคือ ช่างปั้นอิตาลี จึงทำให้เพิ่มความชำนาญมากขึ้น ประสบการณ์นี้ทำให้มองเห็นโอกาสที่กว้างไกลกว่า กับความตั้งใจพัฒนา "งานศิลปะ" ให้เป็น "เงิน" และสร้างธุรกิจตัวเอง

"ผมเป็นคนชอบงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โคราช ก็มาเข้าเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จนจบ ปวช. ศิลปกรรม ตอนนั้นได้มีโอกาสคลุกคลีตีโมงอยู่กับศิลปินช่างปั้นที่ด่านเกวียนท่านหนึ่ง ชื่อ พี่ต๋อง เขาเป็นศิลปินชาวบ้านที่ปั้นโปร่งสดเก่งมาก ก็เลยสนใจและเก็บความประทับใจตรงนั้นไว้ คิดว่าสักวันถ้ามีโอกาสจะต้องสร้างสรรค์ผลงานแนวนี้บ้าง ถือว่าเป็นงานที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ จากนั้นก็มาเรียนต่อที่วิทยาลัยเพาะช่าง กรุงเทพฯ เลือกลงประติมากรรมสากลได้ 1 ปี แต่ชีวิตก็กลับพลิกผันต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เพราะเราต้องหาเงินเรียนเอง ประจวบกับมีคนรู้จักแนะนำให้ไปทำงานที่ประเทศบรูไน ไปอยู่ได้ประมาณ 6-7 เดือน ก็ได้ความรู้กลับมาเยอะมาก เพราะงานที่ทำมีช่างจากอิตาลีเขามาคุมงาน ก็ทำให้ได้ความรู้จากตรงนั้นมาเยอะ งานศิลปะจะต้องเรียนลึก ต้องอาศัยความมุมานะ อดทน และความพยายามอย่างสูงที่จะฝึกฝนตัวเอง หลังจากที่กลับมาจากต่างประเทศก็ได้ไปทำงานที่โรงหล่อในกรุงเทพฯ ทำอยู่ในวงการนี้มากว่า 20 ปีแล้ว ยึดสายประติมากรรมปั้นงานส่งโรงหล่อเป็นอาชีพหลัก จนได้รู้จักกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันสนิทสนมกันมาก เขามีบ้านอยู่ที่สมุทรสาคร เห็นว่าใกล้กรุงเทพฯ เลยพากันย้ายมาตั้งหลักปักฐานกันที่นี่ ซึ่งถือว่าสะดวกสบายกว่าในการนำผลงานออกไปแสดง จากวันนั้นมาถึงวันนี้นับแล้ว 10 กว่าปี" คุณธนสิทธิ์ เล่าความเป็นมาก่อนมาถึงวันนี้

"งานประติมากรรมการปั้นโปร่งสด" เป็นงานที่ "หนุ่มโคราช" คนนี้ รักเป็นชีวิตจิตใจ แม้จะเป็นงานที่ทำยากต้องใช้ความละเอียด ต้องมีสมาธิกับชิ้นงานสูง และต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญในการปั้น จึงจะทำให้งานออกมาดี "คุณธนสิทธิ์" สาธยายอย่างผู้ชำนาญถึงวิธีการปั้นโปร่งให้ฟังว่า

"งานประติมากรรมในสมัยแรกๆ ผมจะเรียนขั้นพื้นฐาน เริ่มจากเขียนรูปก่อน และขึ้นโครงเหล็ก จากนั้นก็ขึ้นดิน จากภายในสู่ภายนอก ขึ้นกระดูกกล้ามเนื้อผิวหนัง ซึ่งในกระบวนการส่วนนี้จะต้องมีความชำนาญ ผมก็ใช้ความรู้ทางด้านประติมากรรมโครงสร้างภายในมาเป็นลักษณะของเส้นรอบนอก ขึ้นโปร่งสด ไม่มีโครงเหล็กอยู่ข้างใน ไม่มีแกน ขึ้นเป็นวงแหวน โดยใช้ดินเหนียวปั้นให้อยู่ตัวด้วยความตึงของเนื้อดิน เราต้องรู้จังหวะของกระดูก กล้ามเนื้อ สัดส่วน ในช่วงแรกๆ ที่ทำก็มียุบบ้าง เพราะยังไม่เข้าใจเรื่องการอยู่ตัวของดิน นิ่มไปบ้าง น้ำหนักไม่อยู่บ้าง เมื่อเราปั้นได้แล้ว ก็ปล่อยให้แห้งจากนั้นจึงนำไปเผา ระยะเวลาในการทำถ้าเป็นการปั้นสาธิตชิ้นหนึ่งวันเดียวผมก็ทำเสร็จเห็นชิ้นงานแล้ว ซึ่งปกติงานศิลป์ทุกสายต้องใช้เวลาเหมือนกัน ถือว่าใครทำได้เร็วก็ทุ่มเทเยอะ ทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ผลงานเยอะ"

ข้อจำกัดของศิลปินส่วนใหญ่คือ "มีฝีมือ แต่ไม่มีหัวการค้า" โจทย์ข้อนี้ "หนุ่มโคราช" ตีแตกกระจุยด้วยอาศัยประสบการณ์ลักจำจากต่างประเทศ และ 20 ปีในเมืองไทย มองทะลุทุกมิติธุรกิจ เขาเรียนรู้ความต้องการของตลาด ดังนั้น การปั้นจึงเน้นตามใจผู้ซื้อ ไม่ใช่ตามใจตัวเอง ลูกค้าต้องการอะไร แบบไหนก็จะผลิตตามนั้น การหาตลาดก็เช่นกัน นอกจากการขายแบบบอกต่อแล้ว การเปิดช่องทางการจำหน่าย ซึ่งทั้งหมดตกผลึกในกระบวนการเดียวกัน "ปั้นแล้วต้องขายได้"

"ผลงานที่ผ่านมาก็มี อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว หลวงพ่อโสธร ผมก็ได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งในทีมงาน ที่ถนนอักษะก็แบบหัวเสา และล่าสุด กำลังเสนอของบประมาณก่อสร้างเรือเอกชัย ของพ่อพันท้ายนรสิงห์ โดยใช้ซีเมนต์เป็นวัสดุในการสร้าง ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการในส่วนเรื่องงบประมาณอยู่ และโดยส่วนตัวผมชอบทำงานอยู่กับบ้าน เพราะศิลปินก็อยากจะมีโลกส่วนตัว ทำงานศิลปะด้วยความสบายใจ จรรโลงโลกให้สวยงามด้วยงานศิลป์ ใช้ชีวิตเรียบง่าย โดยเมื่อประมาณปี 47 รัฐบาลได้มีนโยบายให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดรวบรวมคนที่ทำงานศิลปะไปรวมกลุ่มกัน ได้จัดเวทีให้ มีงบประมาณให้ ผมก็เลยไปสมัครที่หอศิลป์ ในงาน Art market แล้วก็เริ่มสร้างสรรค์ผลงานศิลปะไปแสดง นี่เป็นครั้งแรก ที่ทางกระทรวงสนับสนุนให้มีหน่วยงาน สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่จัดแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาติ ถือว่าเป็นเวทีให้ผู้ที่ทำงานศิลปะ" คุณธนสิทธิ์ กล่าวถึงผลงานและการมีส่วนร่วมที่สำคัญในศิลปะการปั้นต่างๆ

จากความรักต่ออาชีพและความตั้งใจจริงที่จะบูรณาการงานศิลปะการปั้น ให้เพิ่มมูลค่าและเป็นอาชีพที่มั่นคง ทำให้ "คุณธนสิทธิ์" ได้รับเสียงตอบรับจากผู้ซื้อและหน่วยงานภาครัฐที่เขามีส่วนร่วมในการทำงานและร่วมกิจกรรม ณ วันนี้ ผลงานของเขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ระดับ 3 ดาว ประจำจังหวัดสมุทรสาคร สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าชมผลงานศิลปะและขอรับความรู้จากศิลปินผู้นี้ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ บ้านเลขที่ 70/8 หมู่ 3 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร หรือโทร. (034) 857-403 หรือ (089) 512-4719 (089) 512-4719

ที่มา เส้นทางเศรษฐี

มุมมองของชีวิต